ยสกุลบุตรออกบวช

           ในเมืองพาราณสีมีกุลบุตรคนหนึ่งชื่อว่า ยสะ เป็นบุตรของมหาเศรษฐี
ได้รับการบำรุงบำเรอด้วยสตรีประโคมขับกล่อม  คืนวันหนึ่ง  ยสะตื่นขึ้นมาในยามดึก
มองเห็นอาการวิปริตต่างๆนานาของหญิงบำเรอเหล่านั้น ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางป่าช้า
ผีดิบ  รู้สึกสลดสังเวชใจ จึงเปล่งอุทานว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ”
พร้อมกับเดินออกจากปราสาทไปอย่างไม่มีจุดหมาย บังเอิญทางที่ไปมุ่งไปสู่ป่า
อิสิปตนมฤคทายวัน

           พระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่  ได้สดับเสียงยสะเดินบ่นพึมพำมา  จึงตรัสเรียก
“ยสะ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง” พร้อมกับทรงแสดงพระธรรมเทศนา
“อนุปุพพิกถา” และทรงแสดง “สามุกกังสิกาเทสนา (อริยสัจ ๔)”แก่ยสะกุลบุตร
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน
ในพระพุทธศาสนา

           ฝ่ายเศรษฐีออกติดตามหาบุตรชาย ได้พบพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้ทรง
แสดงพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ โปรดท่านเศรษฐี

           เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านเศรษฐีก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล
แล้วแสดงตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต นับเป็น
“เตวาจิกอุบาสก” คืออุบาสกคนแรกที่ขอถึงพระรัตนตรัยครบทั้ง ๓
คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะตลอดชีวิต

           ขณะที่พระบรมศาสดาแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ โปรดท่านเศรษฐีอยู่นั้น
ยสะได้สดับซ้ำเป็นครั้งที่ ๒ พร้อมกับพิจารณาภูมิธรรมตามกระแสพระธรรมเทศนา
จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่นั้น นับว่าเป็น
พระอรหันต์องค์แรกที่อยู่ในเพศฆราวาส

           หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่พระยสะแล้ว
พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระยสะได้เสด็จไปยังเรือนของเศรษฐี  มารดาและภรรยาเก่า
ของพระยสะเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดให้สตรีทั้ง ๒

           เมื่อจบพระธรรมเทศนา สตรีทั้งสองก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบัน
แสดงตนเป็นอุบาสิกา  ได้ชื่อว่าเป็นอุบาสิกาสองคนแรกที่ถึงพระรัตนตรัย

           ยังมีสหายของพระยสะอีก ๔ คนล้วนเป็นบุตรเศรษฐี และ ๕๐ คน
เป็นชาวชนบท ได้ทราบว่าพระยสะออกบวช จึงปรึกษากันว่า   การออกบวช
ของพระยสะนี้คงจะมีเหตุผล  แล้วพากันไปหาพระยสะที่ป่าอิสิปตมฤคทายวัน

           พระยสะพาเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา   สหายเหล่านั้นได้ฟังพระธรรมเทศนา
เกิดดวงตาเห็นธรรม    แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท  พระพุทธองค์ได้ประทาน
เอหิภิกขุอุปสัมปทา

           และต่อมาได้ฟัง “โอวาทานุศาสน์” จากพระพุทธองค์ ก็ได้บรรลุ
เป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น

           เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ พระพุทธองค์ทรงส่ง
ภิกษุสงฆ์ทั้ง ๖๐ รูป ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดออกไปประกาศเผยแพร่พระพุทธศาสนา

        จากนั้นพระพุทธองค์เสด็จจากป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มุ่งสู่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ในระหว่างทางเสด็จเข้าไปประทับพักผ่อนใต้ร่มไม้ในไร่ฝ้ายแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมี
พระราชกุมาร ๓๐ พระองค์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโกศลราช ณ กรุงสาวัตถี
และร่วมพระราชบิดาเดียวกันกับพระปเสนทิโกศลราชกุมาร มีนามเป็นที่รู้จักกันดีว่า
“ภัททวัคคีย์” เพราะทุกพระองค์มีรูปงาม

         พระราชกุมารเหล่านี้ พาภรรยาประพาสป่าหาความสำราญ แต่ราชกุมารองค์หนึ่ง
ไม่มีภรรยาจึงนำหญิงแพศยามาเป็นคู่เที่ยว หญิงนั้นเห็นพระราชกุมารประมาทเผอเรอ
จึงลักขโมยเอาเครื่องประดับหนีไป พระราชกุมารทั้งหลายจึงพากันออกติดตาม
จนได้มาพบพระพุทธองค์

         พระพุทธองค์ตรัสว่า “เธอจะตามหาหญิงหรือตามหาตนเอง”
แล้วทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ พระราชกุมารทั้งหมดบรรลุธรรมาภิสมัย คือ
ที่บรรลุพระโสดาบันก็มี ที่บรรลุพระสกทาคามีก็มี พระพุทธองค์ได้ประทานเอหิภิกขุ
อุปสัมปทา แล้วส่งไปประกาศพระศาสนา


ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

 

บทภาพยนตร์

 

เสียงประกอบ
(สาวใช้,บริวาร นอนกรนบ้างก็ละเมอ)

  

ยสะ (เสียงก้องในความคิด)
          เฮ้อ .. นางเหล่านี้แท้จริงแล้ว    ช่างน่าสังเวชเหลือเกิน …    บิดาของเรา
สร้างปราสาท ๓ ฤดู …   มอบหญิงงามมาขับกล่อมดนตรี  เราเคยเข้าใจว่า
อยู่ในท่ามกลางความสุข .. แต่ตอนนี้เรายสะ...กลับ เบื่อหน่ายการใช้ชีวิตแบบนี้เสียแล้ว...
เราเกิดมาเพียงเพื่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเหรอ...มีเพียงสิ่งเหล่านี้เหรอที่ทำให้เรามีความสุข...
แล้วทำไมเราจึงรู้สึกเบื่อหน่าย...รำคาญใจ

 

ยสะ
          ที่นี่วุ่นวายหนอ .. ที่นี่ขัดข้องหนอ   ที่นี่วุ่นวายหนอ .. ที่นี่ขัดข้องหนอ

 

พระพุทธเจ้า(พูดด้วยเสียงนุ่มนวลกังวาน ในป่า)
          ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง .. มาทางนี้สิ .. เราจะแสดงธรรมให้ฟัง

 

พระพุทธเจ้า
                          ทาน  คือ  การอบรมจิตให้รู้จักการให้ ให้รู้จักการสละ
                            ศีล  คือ  การอบรมจิตให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งปวง
                       สวรรค์  คือ  ผลของจิตที่ตั้งอยู่ในกุศลธรรม
      โทษของกามารมณ์  คือ  จิตที่ยังรุ่มร้อน แสวงหา เพราะการยึดมั่นอยู่ในขันธ์ ๕
อานิสงส์ในการออกบวช  คือ  ทุกข์นี้จะดับไป ทุกข์อื่นจะไม่เกิดขึ้น

 

บรรยาย
         จากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงอริยสัจ ๔  พอจบพระธรรมเทศนา ยสะกุลบุตร
ก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน

 

เศรษฐี
         นี่มันรองเท้าของยสะลูกเรานี่นา ..พวกเจ้ารอตรงนี้ก่อนนะเราจะไปตามเอง

 

พระพุทธเจ้า (เสียงก้องในความคิด)
         เศรษฐีมาแล้ว .. ถ้าเห็นบุตรชายตอนนี้ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม



เศรษฐี
         ท่านนั่งอยู่ที่นี้ เห็นชายหนุ่มชื่อ ยสะ  ผู้เป็น ลูกของข้าพเจ้าบ้างหรือเปล่า

 

พระพุทธเจ้า
         ท่านจงนั่งลง และฟังเราแสดงธรรมก่อนเถิด ...แล้วท่านจะได้พบบุตรของท่านเอง

 

บรรยาย
          จากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมที่ได้แสดงกับยสะซ้ำอีกครั้ง 

 

เศรษฐี
          โอ … พระพุทธองค์ทำให้ข้าพระองค์มีดวงตาเห็นธรรม ข้าพระองค์ขอแสดงตน
เป็นอุบาสก และขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต

 

เศรษฐี
         ยสะ … รีบกลับบ้านเถอะ แม่ของลูกเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ไม่หยุดหย่อน
เพราะเป็นห่วงเจ้า … ไปกันเถอะลูก

 

พระพุทธเจ้า
         ยสะได้ฟังธรรมเป็นครั้งที่สอง บัดนี้ยสะได้รู้แจ้งธรรม สำเร็จเป็นพระอรหันต์ 
ไม่ใช่ผู้ที่จะกลับไปครองเรือนอีก

 

เศรษฐี
          ยสะ … เจ้าได้สิ่งที่สุดประเสริฐแล้ว


เศรษฐี
         เช้าวันนี้ ข้าพระองค์ขออาราธนาพระพุทธองค์ ไปรับอาหารบิณฑบาต
ที่บ้านข้าพระองค์ ด้วยเถิด

 

บรรยาย
          พอท่านเศรษฐีกลับไปแล้ว ยสะก็ขอบรรพชาเป็นภิกษุ ..

 

บรรยาย
          มารดาและภรรยาของพระยสะได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ได้ดวงตาเห็นธรรม
บรรลุเป็นโสดาบัน.. และแสดงตนเป็นอุบาสิกา ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง 
นับเป็นอุบาสิกา คู่แรกในพระพุทธศาสนา

 

พระยสะ
         วิมละ สุพาหุ ปุณณชิ ควัมปติ พวกท่านล้วนเป็นสหายสนิท     เมื่อครั้งที่อาตมา
เป็นฆราวาส  ตอนนี้อาตมาได้ครองเพศบรรพชิตแล้ว ไม่อาจยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลกได้อีก..
พวกท่านพากันมาที่นี่ทำไมเหรอ



วิมละ
         พวกเราทราบข่าวว่าท่านออกบวชและ เชื่อว่าการกระทำของท่านต้องมีเหตุผลที่ดี
อย่างแน่นอนจึงได้พากันมาหา



พระยสะ
         เมื่อเป็นเช่นนั้นอาตมาจะพาไปพบกับ พระบรมศาสดา ผู้ชี้นำหนทางสว่าง
ให้แก่อาตมา และจะขอให้พระพุทธองค์ ประทานธรรมเทศนาแก่พวกท่านบ้าง
ตามอาตมามาเถอะ


พระพุทธเจ้า
          ท่านทั้งหลาย    เมื่อใดที่ท่านรู้จักอกุศลและรากเหง้าของอกุศล  กุศลและรากเหง้าของกุศล  รู้จักชราและมรณะ   เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ
ความดับของชราและมรณะ ทางที่จะให้ถึงความดับชราและมรณะ รู้จักทุกข์ 
เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติเพื่อถึงความดับทุกข์
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ชื่อว่าเป็นสัมมาทิฐิ

 

ดนตรีประกอบยิ่งใหญ่

 

พระยสะ
         พวกท่านทั้ง ๕๐ คน ล้วนแต่เป็นสหายชาวชนบท  ถ้าพวกท่านทุกข์ร้อนอะไร
เราจะช่วยเหลือตามสมควรแก่เพศบรรพชิตของเรา

 

เพื่อนพระยสะ
         พวกเราทั้ง ๕๐ คน ทราบข่าวท่านออกบวช       จึงเกิดความเลื่อมใส
อยากจะขอออกบวชตามบ้าง



พระยสะ
          ดีแล้ว...อาตมาจะพาไปพบพระบรมศาสดา … พวกท่านจงทูลขอบรรพชาเองเถิด

 

พระพุทธเจ้า
          ท่านทั้งหลาย    ภิกษุในธรรมวินัยนี้      ได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น เมื่อสดับแล้วย่อมทราบชัดด้วยปัญญา      เมื่อทราบชัดด้วยปัญญาแล้วย่อมกำหนดรู้
ธรรมทั้งปวง ว่าเธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง   สุขก็ดี   ทุกข์ก็ดี  ไม่สุขไม่ทุกข์
ก็ดี เมื่อรู้เวทนาที่เกิด เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง  คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของเวทนาเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เป็นนิจ เมื่อเห็นความไม่เที่ยง
ย่อมเบื่อหน่าย   เมื่อเบื่อหน่ายย่อมปล่อยวาง     ย่อมพิจารณาเห็นความสละคืน
คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในเวทนา    ย่อมพิจารณาเห็นความดับ

 

พระพุทธเจ้า
          ภิกษุทั้งหลาย … บัดนี้พวกเธอได้บรรลุธรรมอันประเสริฐแล้ว …
จงเที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ เผยแผ่พระธรรมประกาศพระพุทธศาสนา
เพื่อประโยชน์แก่มหาชน … แต่อย่าไปทางเดียวกันสองรูป …
แม้เราเองก็จะเดินทางไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อเผยแผ่พระธรรมเช่นกัน

 

ภัททวัคคีย์ ๑
          ดูซิ … เพราะนางคณิกาตัวดี ทำเอาพวกเราภัททวัคคีย์ทั้ง ๓๐ คน
ต้องมาลำบากเดินบุกบั่นเข้ามาถึงไร่ฝ้ายนี่



ภัททวัคคีย์ ๒
         ก็นั่นนะสิ…มาลักขโมยเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ ของสหายในกลุ่มเราไปซะได้…
ถ้าตามหาเจอละก็ …


ภัททวัคคีย์ ๑
          นั่น … มีนักบวชนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ตรงโน้นแน่ะ … เราไปถามดูกันเถอะ …
เผื่อจะเห็นนางคณิกาผ่านไปบ้าง


ภัททวัคคีย์ ๒
          ท่านนักบวช … ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ เห็นนางคณิกาใส่ชุดเขียวๆ ผ่านมาบ้างหรือเปล่า


ภัททวัคคีย์ ๑
          นางลักขโมยเสื้อผ้ากับเครื่องประดับของสหาย พวกข้าพเจ้าไป …
ก็เลยพากันออกตามหา ยังไม่เจอซักที



พระพุทธเจ้า
          ภัททวัคคีย์พวกท่านจะพึงแสวงหาหญิงนั้น หรือจะแสวงหาตนดีกว่า



ภัททวัคคีย์ ๒
          เออ...ข้าพเจ้า...สมควรแสวงหาตนจะดีกว่า


พระพุทธเจ้า
          ถ้าเช่นนั้น … เราจะแสดงธรรมให้ฟัง

 

พระพุทธเจ้า
          ผู้มีปัญญาสลัดตนออกจากความลุ่มหลง ความหมกมุ่นในกามคุณ ๕ ด้วยเห็นว่า
การแสวงหาความสุขในช่วงเวลาอันน้อยนั้นคือ การข้องเกี่ยว ลุ่มหลง ผูกพัน เปรียบดั่ง
ปลาติดเบ็ด ย่อมมีความทุกข์ ดิ้นรนอยู่


พระพุทธเจ้า
          ภัททวัคคีย์ พวกเธอได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว จงแยกย้ายกันจาริกไป
ประกาศพระศาสนา นำพระธรรมอันประเสริฐ ไปเผยแผ่ เพื่อประโยชน์สุขอันแท้จริง
แก่มหาชนต่อไปเถิด