พยากรณ์บิณฑบาต ๒ ครั้ง

         เมื่อพระบรมศาสดาพร้อมเหล่าภิกษุสงฆ์ เสด็จพุทธดำเนินสู่เมืองกุสินารา
ปุกกุสะ บุตรแห่งมัลลกษัตริย์ เดินทางผ่านมาพอดี จึงเข้าไปถวายนมัสการ น้อมถวาย
ผ้าสิงคิวรรณ จำนวน ๑ คู่ พระพุทธองค์ตรัสให้ถวายพระองค์เพียงผืนเดียว อีก ๑ ผืน
ให้นำไปถวายพระอานนท์ หลังจากปุกกุสะปฏิบัติตามและทูลลาจากไปแล้ว พระอานนท์
ได้นำผ้านั้นมาถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้พระองค์ทรงนุ่งผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง ทำให้ผิว
พระวรกายงดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก พระพุทธองค์ตรัสว่าสาเหตุที่ทำให้ผิวกาย
ของพระองค์บริสุทธิ์เช่นนี้ มีอยู่ ๒ เวลา คือเมื่อจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
และเมื่อจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน จากนั้น จึงพาเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จพุทธดำเนินต่อไป
จนถึงแม่น้ำกกุธานที

           ได้ตรัสแก่พระอานนท์ถึงบิณฑบาตที่ถวายแก่พระองค์ ๒ ครั้ง คือ
ปฐมบิณฑบาต ถวายโดยนางสุชาดา ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ธรรมสำเร็จ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ครั้งหนึ่ง

และ ปัจฉิมบิณฑบาต คือ ภัตตาหารมื้อสุดท้าย ที่นายจุนทะถวายก่อนที่
พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานครั้งหนึ่ง อาหารบิณฑบาต ๒ ครั้งนี้ มีอานิสงส์
มากกว่าบิณฑบาตทั้งหลาย เป็นกุศลกรรม ขออย่าให้มีผู้ใดติเตียนนายจุนทะ
ด้วยเข้าใจผิดว่า อาหารที่ถวายเป็นอันตรายด้วย มิใช่เช่นนั้นแต่ประการใด

          ต่อจากนั้น จึงพาเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จพระพุทธดำเนินข้าม แม่น้ำหิรัญญวดี
ในเมืองกุสินารานคร แล้วเสด็จเข้าไปประทับ ณ สาลวันอุทยาน ทรงให้พระอานนท์
ปูลาดเตรียมที่บรรทม ณ ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ แล้วเสด็จบรรทมสีหไสยาสน์
ไม่มีพุทธประสงค์จะลุกขึ้นอีกต่อไป

           ในครั้งนั้น ต้นสาละทั้งคู่ได้ผลิดอกเบ่งบานเต็มต้นและร่วงหล่นลงมาเป็นการ
บูชาพุทธสรีระเป็นที่อัศจรรย์ แม้ดอกมณฑารพในเมืองสวรรค์ตลอดจนทิพยสุคนธาชาติ
ทั้งหลาย ต่างก็เบ่งบานตกลงมาบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่าเทพยดาทั้งหลาย
ต่างประโคมดนตรีทิพย์ บันลือลั่นเป็นมหานฤนาท เพื่อบูชาพระตถาคตเจ้าในกาลอวสาน พระพุทธองค์ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
“การปฏิบัติธรรมเท่านั้น คือเครื่องบูชาอันสูงค่าแก่พระองค์”

 

ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

บทภาพยนตร์


ปุกกุสะ
          ข้าพระพุทธองค์มีนามว่า ปุกกุสะ บุตรของ มัลลกษัตริย์และเป็นสาวกของท่าน
อาฬารดาบส กาลามโคตร เดินทางออกจากเมืองกุสินารา เพื่อจะไปยังเมืองปาวานคร
ครั้งนี้นับเป็นโชควาสนาของข้าพระพุทธองค์อย่างยิ่ง ที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าชีวิตนี้
ขอให้ได้มีโอกาสสดับฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์สักครั้งหนึ่ง


พระพุทธเจ้า
           ดูก่อนปุกกุสะ...จิตนี้ผุดผ่อง..แต่ต้องเศร้าหมองด้วยอุปกิเลสที่จรมา
ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่รู้ข้อนั้นตามเป็นจริง ผู้มิได้เรียนรู้ย่อมไม่มีการอบรมจิต
ส่วนอริยสาวกผู้ที่ได้ฝึกฝนปฏิบัติดีแล้วย่อมทราบข้อนั้นตามเป็นจริง อริยสาวก
ผู้ได้สดับย่อมมีการอบรมจิต
           ปุกกุสะ เราไม่เล็งเห็นธรรมะอื่นแม้สักอย่างที่เปลี่ยนแปลงได้เร็วเหมือนจิต
ท่านจงกำหนดจิตระลึกถึงคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...คุณของพระธรรม 
คุณของพระสงฆ์  ศีลอันดีงามของตน..ทานที่ท่านสละแล้ว..และเทวดาที่แตกต่างกัน
ในทาน ศีล และการปฏิบัติภาวนา เมื่อท่านกำหนดจิตระลึกถึงอยู่ดังนี้หรืออย่างใด
อย่างหนึ่ง ในคราวนั้นจิตของท่านย่อมไม่มีราคะ โทสะ โมหะครอบงำ ย่อมเป็นจิตตรง
โดยการระลึกถึงอยู่ ย่อมได้ความเข้าใจในอรรถธรรม ได้ความปราโมทย์อันประกอบ
กับธรรม ได้ความปราโมทย์แล้วปิติก็เกิด  ปิติเกิดแล้วกายก็สงบ กายสงบแล้ว
ก็ได้ความสุข ได้ความสุขแล้วจิตก็ตั้งมั่น อันนี้แหละเรียกว่าผู้ถึงความสงบ ถึงความไม่มีทุกข์ ถึงกระแสธรรม

 

ปุกกุสะ
           ผ้าสิงคิวรรณ ๒ ผืนนี้ มีค่าสูง เพราะเป็นผ้าเนื้อละเอียด ทออย่างประณีต
สีดังทองสิงคี ข้าพระพุทธองค์ขอน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะบูชา ขอพระพุทธองค์
ทรงรับไว้ด้วยเถิด


พระพุทธเจ้า
           ปุกกุสะเราขอรับผ้าสิงคิวรรณไว้เพียงผืนเดียว ส่วนอีกผืนนั้นท่านจงถวาย
แก่พระอานนท์ ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากเถิด

 

พระอานนท์
           ผ้าสิงคิวรรณนี้สูงค่ายิ่งนัก ขอพระพุทธองค์ทรงรับไว้คู่กันเถิด  เพื่อจะได้
นุ่งผืนหนึ่งและ ห่มผืนหนึ่ง

 

พระอานนท์
          พระฉวีวรรณของพระพุทธองค์ดูผ่องใสงดงามบริสุทธิ์ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

 

พระพุทธเจ้า
           อานนท์ … ผิวกายของเรางามบริสุทธิ์ใน ๒ คราว คือ ในคราวที่จะตรัสรู้ และในคราวที่จะปรินิพพานจงเร่งเดินทางไปยังเมืองกุสินารากันเถิด

 

พระพุทธเจ้า (เสียงก้องในความคิด)
           จุนทะ เป็นผู้ถวายอาหารบิณฑบาตมื้อสุดท้ายของเรา แต่ถ้าเราไม่บอกกล่าว
ให้ทราบ ต่อไปผู้อื่นจะคิดว่าการถวายอาหารของจุนทะ เป็นสาเหตุให้เรา
ต้องดับขันธ์ปรินิพพาน


พระพุทธเจ้า
           อานนท์ … บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาลมีอยู่สองคราวเท่านั้น
คือครั้งแรกเมื่อนางสุชาดาถวาย...เราก็ถึงซึ่งการดับกิเลส และอีกครั้งหนึ่งที่นายจุนทะ
ถวายนี้ เราก็ถึงซึ่ง การดับขันธ์ อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่...ถ้าใครๆ จะว่ากล่าว
นายจุนทะ เธอควรพูดให้เขาเข้าใจตามนี้ ถ้านายจุนทะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าว
ให้เขาคลายวิตกกังวลเสีย อาหารของนายจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา

 

พระพุทธเจ้า
           อานนท์ … นับแต่นี้เราจะไม่ลุกขึ้นอีกแล้ว

 

พระพุทธเจ้า
           อานนท์ … วันหน้าต่อไป แม้ผู้ใดจะสักการะบูชาเราด้วยเครื่องบูชามากมาย
สูงค่าแค่ไหน ก็ไม่ชื่อว่า บูชาเราด้วยการบูชาอันยิ่ง …อานนท์ …ผู้ใดปฏิบัติตามธรรม
อันชอบยิ่งนี้ ผู้นั้นจึงชื่อว่าได้สักการะบูชาเราด้วยการบูชาอันประเสริฐแล้ว
อานนท์เราจะปรินิพพานในคืนนี้แล้ว


พระอานนท์
           พระพุทธองค์อย่าได้ปรินิพพานที่เมืองเล็กๆ อย่างกุสินารานี่เลย … ขอพระพุทธองค์เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองสาวัตถี โกสัมพี
หรือเมืองพาราณสีเถิด เมืองเหล่านั้นมีกษัตริย์ มีพราหมณ์และคหบดีมากมาย
ล้วนแต่ศรัทธาในพระพุทธองค์ทั้งนั้น

 

พระพุทธเจ้า
           อานนท์ … อย่าได้ตำหนิว่าเมือง กุสินารานี้เป็นเมืองเล็ก … ในอดีตกาล
เมืองนี้เป็นราชธานีที่ยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมากมาย
เต็มไปด้วย เสียงเพลง กล่อมประโคมทั้งกลางวันกลางคืน…อีกประการหนึ่งถ้าเรา
ไปปรินิพพานที่เมืองอื่น สุภัททปริพาชก     ซึ่งเป็นนักบวชลัทธิอื่น ก็จะไม่ได้พบเรา
ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ประการสุดท้ายถ้าเราไปปรินิพพานที่เมืองอื่น   สงคราม
ครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น เพราะเหตุแย่งสรีรธาตุของเรา แต่ในเมืองกุสินารานี้
มีโทณพราหมณ์อยู่ จะได้ช่วยห้ามปรามระงับสงครามนั้น แล้วแจกสรีรธาตุของเรา
แก่กษัตริย์ที่มาจากเมืองต่างๆ สงครามก็จะไม่เกิด นี่คือเหตุผลที่เราอดทนบากบั่น
เดินทางมาจนถึงเมืองกุสินารานี้


พระอานนท์
           เมื่อก่อนผู้เลื่อมใสในธรรมของพระพุทธองค์ต่างเดินทางมาจากทุกสารทิศเพื่อ
เข้าเฝ้า ฟังธรรมะและถามปัญหาข้อข้องใจมากมาย … แต่นี้ไปข้าพระพุทธองค์
และคนเหล่านั้นจะไม่ได้พบเห็น ไม่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระพุทธองค์ อีกแล้ว